ประวัติ ของ อง เหม่ย์หลิง

ชีวิตช่วงแรก (พ.ศ. 2502–2524)

ชีวิตวัยเด็ก

อง เหม่ยหลิง ชื่อเล่นของเธอคือ (Niu) นัน นัน เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2502 ที่เกาลูน เกาะฮ่องกง ในครอบครัวข้าราชการพลเรือน โดยที่พ่อของเธอทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ที่กรมศุลกากรท่าเรือฮ่องกง หรือ เจ้าหน้าที่กองทัพเรือ (naval officer) [23]บิดาของเธอชื่อว่า องฟู่ [24](Weng Fu) ส่วนมารดาชื่อว่า จางหมิงอี้ (Cheung Ming Yee), ซึ่งครอบครัวของเธอนั้นเป็น คริสเตียน นิกาย คาทอลิก เธอเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว ในวัยเด็กของเธอปกติเหมือนครอบครัวทั่วไป เธอชอบการเต้นรำเป็นพิเศษและได้มีโอกาสเรียนบัลเล่ต์ จนกระทั่งพ่อของเธอได้เสียชีวิตลงไป เมื่อเธออายุได้เพียง 7 ปี หลังจากนั้นครอบครัวก็เริ่มประสบปัญหาการเงิน สาเหตุมาจาก องเหม่ยหลิง เป็นลูกนอกสมรสเพราะแม่ของเธอเป็นภรรยาน้อยจึงไม่สามารถเข้าบ้านสามีหรือได้รับสิทธิ์มรดกใด ๆ จากการที่สามีเสียชีวิต ต่อมาไม่กี่ปีแม่ของเธอก็ได้พบรักใหม่กับหนุ่มแซ่ ''เหลียว(廖)'' นามว่า "เหลียวจินถัง" จึงได้แต่งงานกับเขาและเปลี่ยนชื่อแซ่ตามสามีใหม่จาก จางหมิงอี้ เป็น ''เหลียวหมิงอี้'' แทน หลังจากนั้นได้มีโอกาสย้ายตามสามีใหม่ไปทำงานที่ประเทศอังกฤษ จึงจำเป็นต้องฝาก องเหม่ยหลิง ซึ่งมีอายุเพียง 11 ปี ไว้กับลุงเฉินจิง (Chen jing) และญาติที่ฮ่องกงเป็นผู้ดูแล[25][26]

ในช่วงที่เธออาศัยอยู่กับคุณลุง ซึ่งเป็นนักจิตรกร ที่ฮ่องกงนั้น อง เหม่ยหลิง เป็นเด็กเรียนดี แต่เธอไม่ค่อยขยันนัก วิชาที่ได้คะแนนดีกว่าวิชาอื่นๆ คือวิชาวิทยาศาสตร์ แถมเธอยังมีนิสัยเหมือนเด็กผู้ชายเป็นอย่างมากทั้ง ห้าว ทั้งซุกซน และรักอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอเกลียดการนุ่งกระโปรง จนคุณลุงของเธอกลัวว่าเมื่อเธอเติบโตขึ้น จะกลายเป็น ทอมบอย จึงได้พยายามสอนเกี่ยวกับทางด้านศิลปะและให้ความรู้ ทางด้านทฤษฎีกับเธอบ้าง เพื่อทำให้เธอมีความรักสวยรักงามมากขึ้น ซึ่งอิทธิพลเหล่านี้จากคุณลุงได้ส่งผลให้เมื่อเธอเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี เธอจึงเลือกเรียนทางด้านศิลปะเพราะเธอใฝ่ฝันอยากจะทำอาชีพทางด้านนี้[27][28]

ความรักในช่วงวัยรุ่น

ความรักครั้งแรกของ อง เหม่ยหลิง ได้เกิดขึ้น เมื่อเธออายุประมาณ 14 ปี เธอได้พบรักครั้งแรก กับเด็กหนุ่มวัยใกล้เคียงกันทั้งคู่ได้พบรักกันที่ วัดคาทอลิกหลังจากนมัสการพระเจ้า ระหว่างจะกลับบ้าน องเหม่ยหลิงได้ชนชายคนหนึ่งจนหนังสือในมือหล่น ทั้งสองสบตากัน ไม่กี่วันต่อมาขณะที่เธอกำลังเล่นแบตมินตันที่โรงเรียน และบังเอิญตีลูกขนไก่ไปถูกหัวของนักเรียนชายคนนี้

ต่อมาเธอถึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นพี่ชายเพื่อนสนิทของเธอเองเธอเคยให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ ว่าเป็นแค่ความรักแบบเด็ก ๆ ใส ๆ บริสุทธิ์ และไม่มีอะไรเกินเลย หรือที่เรียกว่า ป๊อปปี้ เลิฟ เท่านั้นเอง ทั้งคู่ได้คบหากันเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ สาเหตุเพราะต่อมาเมื่อเธออายุได้ 15 ปี ทั้งเขาและเธอต่างแยกย้ายไปเรียนต่อ แฟนคนแรกของเธอต้องไปเรียนต่อที่ประเทศ แคนาดา ส่วนเธอต้องเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศ อังกฤษ [29]

ความรักครั้งที่ 2 ในปี 2519 เมื่อ อง เหม่ยหลิง อายุ 17 ปี ได้พบรักกับหนุ่มชาวต่างชาติที่ชื่อว่า " ร๊อป เรดเบาด์" (Rob Radboud) โดยความสัมพันธ์ครั้งนี้ นั้นเป็นความรักแบบลึกซึ้ง ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเธอได้เข้าไปศึกษาต่อใน วิทยาลัยศิลปะและเทคโนโลยีแห่งเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ จนได้พบกับ ร็อบ ที่เป็นนักศึกษาเช่นเดียวกัน ทั้งคู่รักกันมากและคบหากันอยู่หลายปี แต่ความรักครั้งนี้ของเธอต้องฟันฝ่าอุปสรรคเป็นอย่างมาก สาเหตุเพราะคุณแม่ของเธอกีดกันและไม่เห็นด้วยกับความรักในครั้งนี้ของทั้งคู่ อีกทั้งนานวันเข้า อง เหม่ยหลิง กลับพบว่า ทั้งเขาและเธอต่างมีมุมมองการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน จนกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2524 ทั้งคู่ได้ตัดสินใจยุติความสัมพันธ์และเลิกลากันไป หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย[30]

การศึกษา

ในช่วงที่เธอศึกษาอยู่ที่ โรงเรียนนานาชาติคาทอลิก โรซารี่ ฮิว (Rosaryhill School) ซึ่งเป็นโรงเรียนคริสเตียนนิกายคาทอลิกแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในย่านหว่านไจ๋ (Wan Chai) ที่ฮ่องกง ในช่วงที่เรียนอยู่ที่นั้นเธอเก่งทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมากและได้เกรด A ในวิชาวิทยาศาสตร์มาโดยตลอด ซึ่งตอนแรกเธอตั้งใจไว้ว่าเมื่อศึกษาจนจบชั้นมัยธมปีที่6 แล้วเธอจะเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฮ่องกง คณะแพทยศาสตร์โดยทันที เพราะเธออยากเป็นหมอ แต่ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2517 เอกสารการเป็นผู้ติดตามไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษก็ได้รับการอนุมัติขึ้นมา ทำให้เธอจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมปีที่ 4 ในฮ่องกง และต้องย้ายตามไปอยู่กับแม่ที่ประเทศอังกฤษทันที เธอได้อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักรเป็นเวลานานถึง 8 ปี ในช่วงปีแรกที่เธอมาถึงสหราชอาณาจักรครอบครัวของเธอได้อาศัยอยู่ในเขตย่าน "เบิรก์คิงไซด์" (Barkingside) อยู่ในเมืองอิลฟอร์ด (Ilford) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงลอนดอน แฟนหนุ่มคนแรกของเธอที่เคยคบหาตอนอยู่ในฮ่องกงด้วยกันซึ่งต่อมาเขาได้ย้ายไปเรียนต่อที่ประเทศแคนาดานั้น เขาได้มีโอกาสบินจากแคนาดาไปเยี่ยมเธอถึงสองครั้งด้วยกันในช่วงปิดเทอม แต่ต่อมาทั้งคู่ต้องเลิกกันสาเหตุเพราะทั้งคู่ยังเด็กเกินไปและมีอุปสรรคในการเดินทางเพราะอยู่กันคนละประเทศ ต่อมาครอบครัวของเธอก็ได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ (Cambridge) ในย่านฮิสตัน (Histon) โดยเธอเริ่มศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมศึกษา วาเลนไทน์ไฮสคูล แห่งอิลฟอร์ด (Ilford Valentines High School) ในระดับ GCE O และผ่านระดับ O-Level (ม.6) และในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ได้มีการไปช่วยกิจการที่ร้านอาหาร fish and chips shop จากนั้นได้เข้าศึกษาต่ออีก 2 ปี ในหลักสูตรปรับพื้นฐาน ที่วิทยาลัยศิลปะและเทคโนโลยีเคมบริดจ์ (Cambridgeshire College of Arts and Technology หรือ CCAT) ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า มหาวิทยาลัยแองเกลียรัสกิน (Anglia Ruskin University)

ต่อมา เธอได้ไปศึกษาต่อที่ ลอนดอน เป็นเวลา 4 ปี ในสาขาศิลปะการออกแบบสิ่งทอที่ "สถาบัน เซ็นทรัลสคูล ออฟ อาร์ท แอนด์ดีไซน์" (Central School of Art and Design ของ "มหาวิทยาลัยศิลปะแห่งลอนดอน" (University of the Arts London) ที่ประเทศอังกฤษในช่วงที่ศึกษาที่นี้ เธอเองได้มีโอกาสเข้าร่วมประกวด นางงามไชน่าทาวน์ (Miss British Chinese 1980) และสามารถคว้ามงกุฎรองอันดับ 1 มาครอง (อ้างอิงจาก)[31][32][33][34]

  • จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 4 ที่ โรงเรียนนานาชาติ โรซารี่ฮิว (Rosaryhill School) ที่ฮ่องกง
  • จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ที่โรงเรียนมัธยมศึกษา "วาเลนไทน์ไฮสคูล" แห่งอิลฟอร์ด (Ilford Valentines High School) และผ่านระดับ O-Level (ม.6)
  • จบการศึกษาระดับ อนุปริญญา หลักสูตรปรับพื้นฐานเพื่อเรียนต่อในระดับปริญญาตรี หรือ Foundation Program ที่วิทยาลัยศิลปะและเทคโนโลยีเคมบริดจ์ (CCAT) ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า "มหาวิทยาลัยแองเกลียรัสกิน" (Anglia Ruskin University)
  • จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะ ศิลปศาสตร์ สาขา ศิลปะการออกแบบสิ่งทอ จาก "สถาบันการออกแบบ เซ็นทรัลสคูล ออฟ อาร์ท แอนด์ดีไซน์" (Central School of Art and Design) ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในหกสถาบันหลักในเครือของ มหาวิทยาลัยศิลปะแห่งลอนดอน (University of the Arts London) ที่ประเทศอังกฤษ

ก้าวแรกในวงการบันเทิง (พ.ศ. 2525)

เข้าร่วมเวที นางงามฮ่องกง

ในวัย 22 ปี หลังจากที่เธอได้จบการศึกษาจาก "สถาบันการออกแบบ เซ็นทรัลสคูล ออฟ อาร์ท แอนด์ดีไซน์" (Central School of Art and Design) ของ มหาวิทยาลัยศิลปะแห่งลอนดอน ( University of the Arts London) ที่ประเทศอังกฤษ พร้อมกับดีกรี รองอันดับ 1 นางงามไชน่าทาวน์ มาครองแล้ว[35][36][37] ในราวปลายเดือนมีนาคม ของปีพ.ศ. 2525 ซึ่งตรงกับช่วงเทศการอีสเตอร์ (Easter) วันสำคัญของทางศาสนาคริสต์ เธอได้มีโอกาสกลับมาเที่ยวที่ฮ่องกง โดยทีแรกเธอตั้งใจเพียงแค่จะกลับมาพักผ่อนไม่กี่เดือนเพื่อใช้โอกาสนี้ในการรักษาแผลใจกับเหตุการณ์ความรักที่เพิ่งจะจบลงไประหว่างเธอกับแฟนหนุ่มชาวต่างชาติเท่านั้น แต่ทว่า...การกลับมาที่ฮ่องกงของเธอในครั้งนี้ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาลเมื่อเธอได้ตัดสินใจสมัครเข้าร่วมประกวดเวที "นางงามฮ่องกง" ในปีพ.ศ. 2525 ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีแม่อุปถัมภ์ (God parents) ของเธอได้ชักชวนให้เข้าลงแข่งขันการประกวดนางงามครั้งนี้แต่ตอนแรกเธอยังลังเล จนเธอได้เห็นแผ่นโปสเตอร์ประกาศรับสมัครประกวดนางงาม จึงใช้เวลาตัดสินใจเข้าลงการประกวดเพียงแค่ 5 นาที ถึงแม้ว่าการประกวดในครั้งนี้เธอจะไม่มีรายชื่อติด 1 ใน 3 คนสุดท้ายในปีนั้น สาเหตุเพราะความสูงของเธอไม่ได้มาตราฐานนางงาม แต่ด้วยบุคลิกที่โดดเด่นรวมไปถึงคุณสมบัติทางด้านการศึกษาที่จบในระดับชั้น ปริญญาตรี และเป็นถึงนักเรียนนอก บวกกับความสามารถในการตอบคำถามของเธอ ที่เธอได้แสดงปฏิภาณไหวพริบความเฉลียวฉลาด ซึ่งเป็นที่ถูกใจคณะกรรมการและผู้ชมเป็นอย่างมาก จึงทำให้เธอสามารถผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ 15 คนสุดท้ายได้ โดยมีคะแนนรวมอยู่ในอันดับที่ 8.

เป็นพีธีกร

หลังจากการประกวดเสร็จสิ้นลงไป เธอก็ได้รับการทาบทามจากแมวมองท่านหนึ่งที่เห็นแววและพรสวรรค์ของเธอบนเวทีการประกวด จึงได้ชักชวนเธอให้เซ็นสัญญากับ บริษัท ทีวีบี โดยทันที และได้มอบหมายงานชิ้นแรกในวงการบันเทิงให้กับเธอโดยให้เธอรับหน้าที่ เป็นหนึ่งในพิธีกร รายการ ผู้หญิงวันนี้ 《婦女新姿》 ซึ่งเธอก็ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทและคำแนะนำจากพิธีกรรุ่นพี่เป็นอย่างดี ถึงแม้เธอจะทำหน้าที่เป็นพิธีกรในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่กี่เดือน ก็ตาม.แต่เธอก็สามารถทำหน้าที่เป็น พิธีกร ได้อย่างดีเยี่ยม[38]

งานโฆษณาชิ้นแรก

ในเดือนกรกฎาคมปี พ.ศ. 2525 เธอมีโอกาสได้เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาให้กับ ยาสระผม ยี่ห้อ แฟซ่า (Kao) อ้างอิงจาก (影视圈内初露锋芒。1982年7月,拍摄了一辑花王洗发水的广告) [39][40]

ผลงานละครเรื่องแรก

หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ได้เปิดตัวกับการแสดงละครชุดเรื่องแรกในชีวิตของเธอ สมิงสาวใจเพชร ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ของ ทีวีบี (TVB) โดยเธอรับบทเป็นนางรองแสดงคู่กับเยิ่น ต๊ะหัว ในบทพระรอง ซึ่งละครเรื่องนี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอได้พบรักกับพระเอกของเรื่องคือ นักแสดงหนุ่ม เพลย์บอย ทัง เจิ้นเยี่ย ( ที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันจนเกิดเหตุโศกนาฎกรรมขึ้นในเวลาต่อมา ) ซึ่งฝ่ายชายเองในขณะนั้นเป็นหนึ่งใน ห้าพยัคฆ์ทีวีบี ชื่อดังแห่งยุค โดยที่เขามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมากมาก่อนจากการสวมบทบาทเป็น ต้วนอี้ ในละครเรื่อง แปดเทพอสูรมังกรฟ้า สาเหตุที่ทั้งคู่พบรักกันก็เพราะทั้งคู่ได้เจอกันในกองถ่ายของละครเรื่องนี้นั้นเอง ซึ่งในตอนนั้น องเหม่ยหลิง เพิ่งเข้าวงการมาใหม่ ๆ เลยยังไม่มีพื้นฐานทางด้านการแสดง เพราะเธอไม่ได้จบจากโรงเรียนสอนการแสดงของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี (TVB) โดยตรงเหมือนดารานักแสดงคนอื่น ๆ ดังนั้นบริษัททีวีบี จึงได้มอบหมายให้ ทังเจิ้นเยี่ย ซึ่งได้แสดงละครในเรื่องนี้ด้วยกันกับเธอคอยเป็นพี่เลี้ยงดูแลและให้คำแนะนำทางด้านการแสดงให้กับเธอตลอดช่วงการถ่ายทำ ซึ่งฝ่ายชายเองก็ดูแลเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษมากกว่าคนอื่น ๆ จนสร้างความประทับใจให้กับ องเหม่ยหลิง เป็นอย่างมากเลยทำให้ทั้งคู่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันในกองถ่ายจนก่อให้เกิดเป็นความรักขึ้นมาและหลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็ได้เปิดตัวกับสื่อว่าคบกันในฐานะคนรู้ใจ ความรักของทั้งคู่นั้นเป็นไปอย่างเปิดเผยและได้รับความสนใจจากบรรดาสื่อเป็นอย่างมาก สาเหตุเพราะในตอนนั้นฝ่ายชายมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือถึงความเจ้าชู้มาก่อน เพราะก่อนหน้าที่เขาจะมาพบรักกับเธอเขาเคยได้รับฉายาจากสื่อว่าเป็น เทพบุตรแห่งความรัก ที่ไม่เคยคิดจะจริงจังกับสาวคนใดมาก่อน เดี๋ยวคบเดี๋ยวเลิกกับหญิงสาวมาแล้วหลายคนเช่น จิ่ง ไต้อิง (นักแสดงสาวสมทบชื่อดัง) และเดปอร่า มัวร์ (รองนางงามรุ่นก่อนหน้าองเหม่ยหลิง หนึ่งปี) แต่ถึงกระนั้น องเหม่ยหลิง เองก็ยังยืนยันในสายตาตัวเองว่า เธอดูคนไม่ผิด ครั้งหนึ่งเธอเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

ดิฉันคบกับทัง เจิ้นเยี่ย ไม่เห็นเลยว่าเขาจะเป็นอย่างที่สื่อเขียนถึงกัน แต่ถ้าหากเขาเคยเป็นอย่างที่สื่อเขียนไว้ก็ถือว่าเป็นเรื่องอดีต คนเราจะคบกันไม่ควรจะยึดติดอยู่กับอดีต และดิฉันคิดว่าเราทั้งคู่ควรจะเปิดโอกาสให้กันและกันและมองไปยังอนาคตมากกว่าค่ะ[41]

จากบทสัมภาษณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าเธอเป็นคนมองโลกในแง่ดีเป็นอย่างมากถึงแม้จะมีหลายคนพยายามบอกกล่าวตักเตือนเธอถึงความเจ้าชู้ของฝ่ายชายแล้วก็ตามแต่เธอก็ยังคงเชื่อมั่นในความรักที่เขามีต่อเธอ ซึ่งจริง ๆ จะว่าไปแล้วความรักของคนทั้งคู่นั้นก็ดูเหมือนว่าจะราบรื่นไร้อุปสรรค์เพราะต่างฝ่ายต่างเป็นคนที่มีชื่อเสียงและเหมาะสมกันดี ถึงแม้ว่าในบางครั้งจะมีข่าวลือซุบซิบเล็ดลอดออกมาบ้างก็ตามแต่ความรักของทั้งคู่นั้นก็ดูราวกับว่ากำลังดำเนินไปได้ด้วยดี

ทันทีที่ได้ถ่ายทำละครเรื่อง สมิงสาวใจเพชร เสร็จและได้มีการนำออกฉาย เธอก็ได้แจ้งเกิดในวงการบันเทิงโดยทันที โดยเธอได้รับคำชมจากผู้ชมและบรรดาสื่อว่า เธอสามารถเล่นละครเรื่องแรกออกมาได้เป็นธรรมชาติและน่ารักมาก ๆ นับเป็นผลงานละครเรื่องแรกที่สามารถปูทางเริ่มต้นชีวิตการแสดงในวงการบันเทิงของเธอได้อย่างสวยงาม จนทำให้เธอเป็นที่จับตามองในฐานะ ดาวรุ่งพุ่งแรง ประจำปี.

โด่งดังเป็นพลุแตกทั่วเอเชีย (พ.ศ. 2526)

รับบท อึ้งย้ง ผู้โด่งดัง

หลังจากที่เธอได้แจ้งเกิดและเริ่มเป็นที่รู้จักกับผลงานละครเรื่อง "สมิงสาวใจเพชร" ในฐานะดาวรุ่งน้องใหม่ของวงการแล้ว ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีได้มองเห็นอนาคตอันสดใสของเธอ จึงได้ตัดสินใจคัดเลือกเธอให้รับบท อึ้งย้ง คู่กับ พระเอกที่กำลังมาแรงในขณะนั้น หวงเย่อหัว รับบทเป็น ก๊วยเจ๋ง ในละครกำลังภายในฟอร์มใหญ่เรื่อง มังกรหยก ภาค1 (2526) ซึ่งการได้มาขององเหม่ยหลิง กับบท อึ้งย้ง ไม่ใช่ง่าย โดยเธอเองก็ได้มีโอกาสไปทดสอบหน้ากล้องในบทดังกล่าว เพราะทางบริษัททีวีบี ได้ประกาศหาผู้สมัครรับบทนี้ในโครงการ " "อึ้งย้งในอุดมคติ" กันอย่างเปิดเผย [42]และเธอต้องฝ่าด่านผู้สมัครรับบทอึ้งย้งนี้ถึง 3,000 คน ต่อมาทางทีวีบีได้คัดจนเหลือ 60 คนทันทีโดยรวมถึงนักแสดงสาวที่เป็นตัวเก็งคาดว่าจะได้บทนี้ เช่น หวงซิ่งซิ่ว, เฉินฟู่เซิง, จิ่งไต้อิง และ ชีเหม่ยเจิน เป็นต้น แต่ทว่าเมื่อทางช่องคัดเหลือเพียง 4 คนสุดท้ายกลับไม่มีรายชื่อเหล่านักแสดงตัวเก็งดังกล่าวเลยสักคนแต่กลับกลายเป็นทั้งสี่คนคือนักแสดงสาวหน้าใหม่ทั้งหมด ได้แก่หันเส้าหลิง, หลี่เยี่ยนซัน, ลู่จิ่งหง และเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยคะแนนทั้ง 4 คนสูสีกันมากจนทำให้ทั้งผู้กำกับและฝ่ายโปรดิวเซอร์ของละครชุดนี้ลำบากใจในการเลือก ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้ กิมย้ง ผู้แต่งละครเรื่องนี้เป็นคนตัดสินใจเลือกแทน ครั้งแรกที่กิมย้ง พบ องเหม่ยหลิง ก็สะดุดในความน่ารักบนใบหน้าของเธอทันทีโดยเฉพาะดวงตาที่กลมโตของเธอซึ่งส่อแววความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก กิมย้งได้ให้นักแสดงหน้าใหม่ทั้ง 4 คนสุดท้ายได้ลองแนะนำตัวเองให้เขาได้รู้จักทีละคน ซึ่งคนอื่นทั้งสามคนที่เข้ารอบต่างแนะนำตัวเองด้วยชื่อแซ่จริงของแต่ละคน แต่พอมาถึงคิว องเหม่ยหลิง เธอได้ใช้ปฏิภาณไหวพริบที่ฉลาดกว่าคนอื่นโดยแนะนำตัวเองว่า[43]

"ข้าน้อยแซ่อึ้ง มีนามว่า อึ้งย้ง บุตรีคนเดียวของเจ้าเกาะดอกท้อ อึ้งเอี๊ยะซือ ขอคารวะท่านกิมย้ง"

เธอได้ใช้ชื่อแซ่ของตัวละครอึ้งย้งมาแนะนำตัวแทนการใช้ชื่อแซ่จริงของเธอซึ่งเป็นการแนะนำตัวที่แปลกแตกต่างจากคนอื่นทั้งสามคนที่เข้ารอบมาด้วยกันทำให้กิมย้งถึงกับหัวเราะชอบใจและผู้กำกับ หวังเทียนหลิน เองก็ปรบมือให้กับเธอ จากนั้น กิมย้งได้ให้ทั้งสี่คนลองร่ายรำกระบี่ให้เขาดู ทันทีที่เขาเห็น องเหม่ยหลิง ร่ายรำกระบี่เขาได้พูดกับผู้กำกับว่า นี่คือ อึ้งย้งที่เขากำลังมองหา ด้วยบุคลิกที่ร่าเริงคล่องแคล่วเหมือนอึ้งย้งในนิยาย ในที่สุดทั้งกิมย้ง,ผู้กำกับและฝ่ายโปรดิวเซอร์ของกองละครเรื่องนี้ได้ตัดสินใจเลือกเธอเป็นอึ้งย้งคนใหม่ หลังจากที่บริษัท (TVB) ได้ประกาศสร้างละครฟอร์มใหญ่เรื่อง มังกรหยก ภาค1 (2526) ซึ่งมีความยาวถึง 60 ตอนดั่งเดิม (59 ตอนปัจจุบัน "cut") โดยมีเธอรับบทนำเป็น อึ้งย้ง ซึ่งเป็นตัวละครหลักสำคัญในนวนิยายชื่อดัง แต่สื่อจับเธอไปเปรียบเทียบกับ ดาราสาว หมีเซียะ ที่เคยได้รับความนิยมจากบทนี้มาก่อน จึงทำให้เธอถูกแรงกดดันเป็นอย่าง แต่นั้นคือช่วงแรก ๆ เท่านั้น

ก่อนเปิดกล้องถ่ายทำ มังกรหยก เธอได้เริ่มอ่านบทประพันธ์ของกิมย้ง และศึกษาทำความเข้าใจตัวละครในแบบฉบับของเธอ โดยเธอตีความหมายตัวละครอึ้งย้งว่า ดีสามส่วน ร้ายเจ็ดส่วน ในด้านดีสามส่วนก็มีความร้ายกาจแฝงอยู่ ตามสไตล์ลูกสาวของเจ้าเกาะดอกทอง

ความสำเร็จระดับตำนาน

ในที่สุด หลังจากที่ได้ถ่ายทำละครชุดนี้เสร็จสิ้นลงในแต่ละภาค(สามภาค) และเริ่มมีการแบ่งการออกอากาศทั้งสามภาคย่อย โดยครั้งแรกในฮ่องกงออกอากาศในช่วงต้นปีพ.ศ. 2526 (1983) องเหม่ยหลิง ในวัย 23 ปีเริ่มโด่งดังขึ้นมาจากบทบาท อึ้งย้ง ต่อมาได้มีโอกาสนำทยอยออกฉายทั่วเอเชียผลปรากฏว่า เธอกลับได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด ชื่อเสียงของ องเหม่ยหลิง โด่งดังเป็นพลุแตกทั่วเอเชีย โดยทันที และทำให้เธอกลายเป็นดารายอดนิยม เพียงชั่วข้ามคืน คนดูและนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ต่างยอมรับในความสามารถทางด้านการแสดงของเธอที่มาจากพรสวรรค์ ซึ่งการแสดงของเธอในบท อึ้งย้ง นั้น เธอได้ใช้ความสามารถในการตีบทนี้ให้แตกได้สำเร็จ และที่สำคัญคือ องเหม่ยหลิง ไม่เลียนแบบหมีเซียะ ถึงแม้อึ้งย้งฉบับ องเหม๋ยหลิง จะมีด้านความร้ายกาจที่ผู้เขียนบทใส่เพิ่มเติมเข้าไปบ้างเล็กน้อย แต่โดยเสน่ห์ส่วนตัวที่ไม่เหมือนใคร บวกกับ ฝีมือการแสดงของ องเหม่ยหลิง เองที่สามารถถ่ายทอดบุคลิกของตัวละครอึ้งย้ง ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งเฉลียวฉลาด น่ารักแก่นแก้วซุกซนเป็นที่สุด ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมละครส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก และจากการแสดงบทนี้ได้ทำให้เธอเป็นขวัญใจของผู้ชมหมู่มากในทุกเพศทุกวัย ทั่วทั้งเอเชีย ส่งผลให้ชื่อของ องเหม่ยหลิง กลายเป็น ดาราแม่เหล็กชั้นแนวหน้าของบริษัท TVB ไปโดยทันที และเมื่อสิ้นสุดการฉายของละครเรื่องนี้ผลปรากฏว่าละครเรื่อง มังกรหยก ชุดนี้ได้สร้างปรากฏการณ์เป็นละครชุดกำลังภายในที่มีเรทติ้งสูงสุดตลอดกาล โดยมีเรทติ้งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 65 จุด และมีเรตติ้งสูงสุด 99% จากยอดคนดูกลายเป็นมังกรหยกเวอร์ชันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทำลายสถิติ มังกรหยกเวอร์ชันก่อนหน้านี้ในปี 2519 ที่แสดงโดย "หมีเซียะ" ไว้อีกด้วย และเมื่อนำไปออกฉายในจีนแผ่นดินใหญ่ทำเรตติ้งได้สูงถึง 90% กลายเป็นสิบอันดับแรกของละครที่มีเรตติ้งสูงสุดในจีนเป็นประวัติการณ์

อีกทั้งเรตติ้งทั่วเอเชียสูงมากทำให้กลายเป็นหนึ่งในสิบละครทีวีบีที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในโลก (該劇是TVB全球收視率最高的十部劇集之一) โดยมียอดผู้ชมดูสดผ่านทีวีครั้งแรกที่ออกฉายในแต่ละประเทศรวมมากกว่า 356 ล้านคน ต่อมาสื่อในมาเลเซียและสิงคโปร์ได้คัดเลือกละครทีวีจีนคลาสสิก 100 เรื่องในศตวรรษที่ 20 และละครมังกรหยกชุดนี้ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสิบอันดับแรก[44][45]

ผลงานละครเรื่องต่อมาของเธอเป็นละครแนวสากลฟอร์มใหญ่ เรื่อง "เฉือนรักเฉือนคม" ที่เธอได้มีโอกาสประชันบทบาท กับ นักแสดงชื่อดังรุ่นพี่ "เจิ้ง เส้าชิว" ซึ่งเรตติ้งก็ประสบความสำเร็จพอสมควร.[46]

รับเชิญในภาพยนตร์

ในเดือน สิงหาคม ปีเดียวกัน หลังจากความโด่งดังในบท อึ้งย้ง ของเธอ ส่งผลให้ชื่อของเธอติดโผ ดารายอดนิยมสูงสุดประจำปี พ.ศ. 2526 และทำให้ทั้ง เธอ และ หวงเย่อหัว ที่รับบทเป็น ก๊วยเจ๋ง ได้ถูกรับเชิญให้มารับบทเล็ก ๆ เป็น สายลับ FBI ในภาพยนตร์ตลกฟอร์มใหญ่ประจำปี เรื่อง ลูกบ้าดีเดือด (瘋狂83 ,Mad Mad 1983 ) ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการรวมตัวเอาเหล่า ดารานักแสดงและนักร้อง ที่มีรายชื่อติดอันดับความนิยมสูงสุดประจำปี ระดับแถวหน้ามาเล่นด้วยกัน และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สามารถทำรายได้ในตลาดหนังฮ่องกงไปมากกว่า 5 ล้านเหรียญ นับได้ว่าเป็นภาพยนตร์เพียงเรื่องเดียวในชีวิตอันแสนสั้นของเธอ.อ้างอิงจาก [47]

โชว์ตัวที่ประเทศไทยและกลุ่มสี่ดรุณีหยก

จากความโด่งดังทั่วเอเชียเป็นอย่างมากของดาราสาว องเหม่ยหลิง ในการแสดงบท อึ้งย้ง ทำให้เธอได้รับการติดต่อจากเมืองไทยให้เดินทางไปโชว์ตัวที่นั้นราวสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 4-11 ธันวาคม ที่ภัตตาคารแกแล็กซี่และไนท์คลับ โดยดาราสาวคนดังได้เดินทางไปถึงกรุงเทพในวันที่ 2 ธันวาคม ราว 11 นาฬิกาเศษและเข้าเช็คอินที่โรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัลในเวลาไล่เลี่ยกัน และในเวลาราว 1 ทุ่มเศษของวันเดียวกัน เธอได้ปรากฏตัวต่อสื่อในงานแถลงข่าวที่ภัตตาคารแกแล็กซี่และไนท์คลับ โดยตารางการโชว์ตัวของเธอมีดังนี้

4 ธันวาคม เป็นวันแรกของการโชว์ตัวและเธอต้องโชว์ตัวร่วมกับนักร้องนานาชาติ วงสตริง "อะโวคาโด้" และคณะกายกรรมจากฟิลิปปินส์ ระหว่างเวลา 15.00-17.30 น.

7 ธันวาคม มีรอบพิเศษจัดเป็นคอนเสริต์ใหญ่ที่ อินเดอร์สเตเดี้ยม มีผู้คนมาดูเธอล้น หลายพันคน

10 ธันวาคม ทางภัตตาคารแกแล็กซี่และไนท์คลับร่วมกับชมรมผู้สื่อข่าวอาชญากรรมได้จัดรอบพิเศษขึ้นมาอีกหนึ่งรอบเพื่อสมทบทุนช่วยเหลือการศึกษาบุตรหลานของผู้สื่อข่าว ระหว่างเวลา 15.00-17.30 น.

11 ธันวาคม เธอต้องโชว์ตัวร่วมกับ "วงสาว สาว สาว" ซึ่งเป็นวงสตริงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังของไทยในยุคสมัยนั้นโดยในวงประกอบด้วยสามสาว ได้แก่ เสาวลักษณ์ ลีละบุตร, พัชริดา วัฒนา และ อรวรรณ เย็นพูนสุข ระหว่างเวลา 15.00-17.30 น.

ซึ่งการแสดงคอนเสิร์ตในเมืองไทยของ องเหม่ยหลิง ตลอดทั้ง 7 วัน ประสบความสำเร็จอย่างมากมีแฟน ๆ นับหมื่นต่างเข้ามาดูการแสดงของเธอเต็มทุกรอบการโชว์ตัว และเป็นคอนเสิร์ตของดาราต่างประเทศที่ฮือฮาที่สุดในรอบปี[48]หลังกลับจากการโชว์ตัวที่ประเทศไทย ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี ก็ได้มีการก่อตั้งกลุ่ม 4 ดรุณีหยก รุ่นสอง ขึ้นมาแทนรุ่นแรกที่กำลังจะหมดยุคไป โดยในรุ่นใหม่ประกอบด้วยดาราสาวมาแรงของทางช่องสี่คน ได้แก่ องเหม่ยหลิง เฉินอวี้เหลียน หลิวเจียหลิง และเจิงหัวเชี่ยน

ผลงานตอกย้ำความสำเร็จ (พ.ศ. 2527)

ปีทองของเธอ

ในปีนี้เองชื่อเสียงของ องเหม่ยหลิง ถือได้ว่าเป็นระดับขวัญใจมหาชน จากความโด่งดังของเธอ ในบท อึ้งย้ง ทำให้เธอได้มีโอกาสไปโชว์ตัว ตามต่างประเทศอยู่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งใน สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย และย่านไชน่าทาว์น แถว ทวีปยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม เป็นต้น และในช่วงนี้เอง ทีวีบีได้เล็งเห็นความสำคัญของเธอ จึงมอบหมายให้เธอได้รับเล่นละครติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าผลงานละครเรื่องต่อ ๆ มาของเธอ จะไม่ได้รับความนิยมเท่า มังกรหยก ก็ตาม แต่ผลงานละครเหล่านี้ก็สามารถทำให้ชื่อเสียงของเธอได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องได้เป็นผลสำเร็จ โดยเฉพาะละครเรื่อง เทพอาจารย์จอมอิทธิฤทธิ์ กลายเป็นแชมป์เรตติ้งเฉลี่ยสูงสุดในปีพ.ศ. 2527(1984) ด้วยเรตติ้งคะแนนเฉลี่ย 61 จุดเปิด คนดูในฮ่องกงมากกว่า 3.15 ล้านคนต่อตาตอน (ติดสิบละครเรตติ้งเฉลี่ยสูงสุดตลอดกาลในฮ่องกง) และยังเป็นหนึ่งในละครฮ่องกงสุดคลาสสิกของศตวรรษที่ 20 ที่ได้รับการคัดเลือกโดยสื่อสิงคโปร์ นับเป็นเรื่องที่สองของเธอ (ต่อจากเรื่อง มังกรหยก 1983) ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด ส่งผลให้ชื่อของเธอติดหนึ่งในดารายอดนิยมสูงสุด ประจำปี พ.ศ. 2527 นับได้ว่าเป็นปีทองของเธอ เลยทีเดียวเพราะเธอ รุ่งทั้งเรื่องงานและความรัก

จับคู่กับเหมียวเฉียวเหว่ย

ในปี พ.ศ. 2527 บริษัท (TVB) ได้ป้อนงานละครให้กับเธอติดต่อกัน และมอบหมายให้เธอจับคู่กับ ดาราหนุ่มมาดเทห์ เหมียว เฉียวเหว่ย หลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งการเล่นละคร คู่กัน ของเธอ กับ เหมียว เฉียวเหว่ย นั้นได้กลายเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมเป็นอย่างมาก จนเกิดเป็นกระแสคู่ขวัญคู่ใหม่ของวงการบันเทิง สาเหตุนั้นก็เพราะทั้งคู่มีเคมีที่ตรงกันและสามารถเล่นเข้าขากันได้ดี จนกระทั่งคนดูและบรรดาสื่อต่าง ๆ พยายามจับคู่เธอกับเหมียว เฉียวเหว่ยให้เป็นคู่รักกัน ทั้งในจอและนอกจอ มีแฟน ๆ ละครมากมาย เชียร์ทั้งคู่ให้เป็นแฟนกันจริง ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผลเพราะเธอกับ เหมียว เฉียวเหว่ย ต่างเป็นแค่เพื่อนที่สนิทกันในวงการเท่านั้น และที่สำคัญต่างฝ่ายต่างก็มีแฟนที่คบหาดูใจกันอยู่แล้ว ผลงานละครที่ตามมาของเธอในปีนี้ ได้แก่ ยุทธจักรชิงจ้าวบัลลังค์, เทพอาจารย์จอมอิทธิฤทธิ์, เฉือนคมเจ้าพ่อ, และ "ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว" ซึ่งละครทั้ง 4 เรื่องที่เธอเล่นกับ เมียวเฉียวเหว่ย ต่างติด 10 อันดับละครที่มีเรตติ้งเฉลี่ยสูงสุดแห่งปี โดยเฉพาะผลงานละคร เรื่อง "ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว" นี้ ถือได้ว่าได้รับความนิยมในระดับเอเชีย นับว่าเป็นผลงานที่ตอกย้ำความนิยมในตัวเธอได้เป็นอย่างดี และเป็นอีกหนึ่งผลงานที่แฟน ๆ ละครของเธอจดจำมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งไม่แพ้ เรื่อง มังกรหยก

งานโฆษณาชิ้นที่สอง

ด้วยกระแสความสำเร็จของเธอในปีนี้ ทำให้ในช่วงปลายปีเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว อง เหม่ยหลิง ก็ได้รับการติดต่อให้รับงานโฆษณาครีมบำรุงผิวหน้า ยี่ห้อ ครีมเฮสลีน สโนว์ (Hazeline Snow). แหล่งอ้างอิง[49]

ชื่อเสียงโด่งดังสุดขีด (พ.ศ. 2528)

ถูกจับตามองในเรื่องส่วนตัว

ในปี พ.ศ. 2528 ชื่อเสียงของ อง เหม่ยหลิง ถึงจุดสูงสุด ในตำแหน่งหน้าที่การงาน ของเธอ เธอได้รับความนิยม อย่างมาก และเป็นที่สนใจ ของประชาชน รวมถึงเป็นที่จับตามองของบรรดาสื่อ ต่าง ๆ ทั้งในเรื่อง ชื่อเสียง , การงาน โดยเฉพาะเรื่อง ส่วนตัว ของเธอนั้น จะเป็นที่จับตามองเป็นพิเศษมากกว่าเรื่อง อื่น ๆ จนเป็นที่น่าแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะในปีนี้เอง ที่บรรดาสื่อ ชอบเล่นข่าวลือเกี่ยวกับข่าวความรักของเธอ ( มีบรรดาแฟน ๆ ละครของเธอ บางคนมีความเห็นว่านี้อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุ ที่ทำให้ อง เหม่ยหลิง ตัดสินใจ ฆ่าตัวตาย อาจเนื่องมาจาก เธอต้องการหนีปัญหา เกี่ยวกับข่าวลือ ต่าง ๆ ที่รุมประดังเข้ามาอย่างมากมาย ก็เป็นได้ ). เธอเองเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียงที่โด่งดังของเธอเอาไว้ว่า ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ขยับตัวไปไหนก็กลายเป็นข่าวไปซะทุกเรื่อง จนทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก ซึ่งจริง ๆ จะว่าไปแล้ว ด้วยความที่เธอเป็น ดาราดัง ก็ย่อมตกเป็นที่สนใจของบรรดาสื่อ ต่าง ๆ มากมาย ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเหล่าคนดังในวงการบันเทิง เพียงแต่เธอไม่สามารถควบคุม สภาวะทางด้านอารมณ์ หรือ รับมือกับข่าวลือต่าง ๆ ได้ดีเท่ากับดาราดังคนอื่น ๆ เพราะเธอเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวเป็นอย่างมาก จนหลายคนคาดเดาว่า นี้อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เธอกลายเป็น โรคซึมเศร้า ขึ้นมา.[50]

มรสุมข่าวลือและปัญหาความรัก

ตลอดเกือบทั้งปีก่อนเธอจะเสียชีวิต เธอมีข่าวลือ ซุบซิบเกี่ยวกับเรื่องความรักของเธอออกมาอย่างต่อเนื่อง จนในบางครั้งสร้างความไม่พอใจให้กับเธอเป็นอย่างมาก และเพราะข่าวลือต่าง ๆ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชีวิตรักของคนทั้งคู่มีปัญหาอย่างหนักจนถึงขั้นมีปากเสียงกันอยู่บ่อยครั้งด้วยความหึงหวง จนในที่สุดความรักของคนทั้งคู่นั้น ก็ได้ขาดสะบั้นลง เป็นจริงตามที่ใครหลายคนเคยคาดหมายเอาไว้ สาเหตุเพราะได้เกิดพายุข่าวลือโหมกระหน่ำเข้ามาในชีวิตรักของเธออย่างมากมาย โดยเฉพาะข่าวลือที่ว่า:

1.ข่าวลือเรื่อง ทังเจิ้นเยี่ย คิดเกาะกระแสความดังของเธอ เพราะในช่วงเวลานั้นชื่อเสียงของฝ่ายชาย ความนิยมลดน้อยลงเป็นอย่างมาก สวนทางกับชื่อเสียงของ องเหม่ยหลิง ที่กลับโด่งดังสุดขีด

2.และในช่วงที่ชื่อเสียงของ ทังเจิ้นเยี่ย กระแสความนิยมเริ่มลดน้อยลง ฝ่ายชายก็ได้ตัดสินใจ รับเล่น หนังเรท R เรื่อง รักร้อนสวาท Maybe It's Love (窺情) คู่กับดาราสาวชื่อดัง จง ฉู่หง โดยที่เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังเรท R เรื่องนี้จะสามารถเรียกกระแสฮือฮาทำให้คนดูและบรรดาสื่อต่าง ๆ กลับมาสนใจในตัวเขาได้เหมือนเดิม ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ องเหม่ยหลิง เกิดความรู้สึกลึก ๆ ไม่พอใจที่เขาไปรับแสดงหนังเกรดสามแบบนั้นเหมือนเป็นการลดเกรดตัวเอง ส่วนทางด้าน องเหม่ยหลิง เธอก็มีข่าวซุบซิบเล็ก ๆ น้อย ๆ กับทั้ง หวงเย่อหัว หลิวเต๋อหัว เหมียวเฉียวเหว่ย และ เหลียงเฉาเหว่ย เพราะการโปรโมทของทีวีบี[51]ซึ่งทั้ง 3 คน ก็เคยมีข่าวลือในระยะสั้น ๆ ว่า ไปออกเดทกับเธอมาแล้วทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงทั้ง 3 คน เป็นแค่เพื่อนในวงการของเธอเท่านั้นเอง และข่าวส่วนใหญ่เป็นการโปรโมท[52] แต่โดยเฉพาะกับ เหมียวเฉียวเหว่ย นั้น สื่อต่างๆ พยามยามจับคู่เธอ กับ เหมียวเฉียวเหว่ยให้เป็นแฟนกัน และพยายามสร้างกระแสเล่นข่าวเธอ กับ เหมียวเฉียวเหว่ย ว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันในตอนถ่ายละครเรื่อง "ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว" บวกกับแรงเชียร์จากบรรดาแฟนคลับของคนทั้งคู่ ที่อยากให้ทั้งคู่เป็นแฟนกันจริง ๆ จนกระทั่งมีข่าวลือซุบซิบออกมาว่าดาราสาว ชี เหม่ยเจิน ซึ่งเป็นแฟนสาวตัวจริงของ เหมียวเฉียวเหว่ย และเป็นเพื่อนสนิทของ องเหม่ยหลิง เกิดการไม่พอใจขึ้นมา และไม่ต้องการให้ เหมียวเฉียวเหว่ย เล่นประกบคู่ กับ องเหม่ยหลิง อีก หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้เล่นประกบคู่กันอีกเลย ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้สร้างความอึดอัดใจให้กับทั้ง เหมียวเฉียวเหว่ย และ องเหม่ยหลิง เป็นอย่างมาก เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีคนรักที่คบหาดูใจกันอยู่แล้ว จนกระทั่ง เหมียวเฉียวเหว่ย ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ กับสื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ตัวเขารัก ชีเหม่ยเจิน เพียงคนเดียว ส่วน องเหม่ยหลิง นั้นเขาเห็นเธอเหมือนน้องสาวที่แสนดีเท่านั้น เพราะเขาเองไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับเธอเลย จากข่าวลือเรื่องนี้ทำให้ในระยะหลัง องเหม่ยหลิง และ เหมียวเฉียวเหว่ย เองต่างก็ติดต่อกันน้อยลงจนความสัมพันธ์ก็เริ่มห่างเหินกันไป เพราะกลัวแฟนสาวของเขาจะเข้าใจผิด. (อ้างอิงจาก) [53][54][55][56]

3.ข่าวซุบซิบยังมีต่อเนื่องออกมาอีก เมื่อนิตยสารชื่อดังเล่มหนึ่งของฮ่องกง ได้ตีพิมพ์ภาพที่เธอถ่ายรูปลงนิตยสารในท่าทางที่เซ็กส์ซี่ออกมา กลายเป็นข่าวดังสุดฮอต จนบรรสื่อต่าง ๆ พยายาม นำภาพเหล่านี้ไปเชื่อมโยงกับข่าวลือในเรื่องความรักของเธอ ทำนองว่า เธอตั้งใจจะถ่ายภาพเหล่านี้ออกมาเพื่อประชดประชัน ทังเจิ้นเยี่ย ที่ไปเล่นหนังเรท R กับ จงฉู่หง โดยที่ไม่บอกเธอ จนกระทั่งทางบริษัท (TVB) ซึ่งเป็นบริษัทต้นสังกัดของเธอ ได้เรียกเธอไปตักเตือนเกี่ยวกับภาพที่ออกมาในนิตยสารดังกล่าว ถึงแม้เธอจะอ้างว่าเธอถูกหลอกให้ถ่ายภาพในลักษณะท่าทางดังกล่าวจากตากล้องช่างภาพ ของนิตยสารเล่มนั้นก็ตาม และเธอเองก็มีความเห็นว่า ภาพดังกล่าวไม่ได้ดูเซ็กส์ซี่มากมายจนถึงขนาดที่จะสร้างความเสียหายให้กับเธอได้[57]

4.ข่าวลือที่สร้างความเจ็บปวดในหัวใจของ องเหม่ยหลิง มาก ๆ อีกข่าวคือช่วงต้นปีในขณะที่ ทัง เจิ้นเยี่ย ต้องห่างเหินกับเธอเพราะเขาต้องเดินทางไปถ่ายหนังที่ ไต้หวัน ต่อมาไม่นานสื่อที่ไต้หวันได้ออกข่าวซุบซิบในหนังสือบันเทิงว่า ทังเจิ้นเยี่ย มีความสัมพันธ์กับสาว ๆ ที่ไต้หวันเป็นว่าเล่น ทั้งกับนักแสดงสาวที่เล่นหนังด้วยกัน หรือแม้กระทั่งกับสาว ทั่ว ๆ ไป จนข่าวลือเรื่องนี้ดังไกลมาถึงฝั่งฮ่องกง สร้างความกลุ้มใจให้กับเธอเป็นอย่างมากและเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอเริ่มติดยานอนหลับ ต่อมาก็มีข่าวซุบซิบออกมาว่าเธอเคยคิดฆ่าตัวตายเพราะข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้ว เธอเคยพูดคุยกับเพื่อนสาวนอกวงการว่าเธอกลัวจะสูญเสียเขาไป ถ้าหากเขาไปเจอผู้หญิงคนอื่นแล้วเกิดเปลี่ยนใจไปจากเธอ

5.และข่าวซุบซิบในเรื่องของความไม่เหมาะสมกันทางด้านสถานะทางสังคมในเรื่องความแตกต่างทางด้านวุฒิการศึกษาที่ฝ่ายชายจบแค่ชั้นมัธยม แต่ฝ่ายหญิงจบสูงกว่าเป็นถึงนักเรียนนอก จนเป็นสาเหตุให้ความรักของคนทั้งคู่เกิดช่องว่างระหว่างกัน ฝ่ายชาย จึงมีความรู้สึกอึดอัดและเริ่มตีตัวออกห่างจากเธอ

6.มีข่าวซุบซิบลงหนังสือบันเทิงช่วงวันที่ 17 มีนาคม 2528 ว่า องเหม่ยหลิง ได้ไปเล่นคอนเสริต์โชว์ตัวที่ประเทศ สิงค์โปร์ ได้มีนักธุรกิจหนุ่มผู้ร่ำรวยชาวสิงคโปร์คนหนึ่ง มาเกี้ยวพาราสีเธอและขอเธอแต่งงานด้วยแหวนเพชรมูลค่ากว่า 20,000 ดอลลาร์ แต่เธอได้ปฏิเสธเขาไป เมื่อเธอกลับมาที่ฮ่องกงได้ถูกสื่อถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอตอบไปว่า ผู้ชายคนนั้นเป็นแค่แฟนคลับทั่วไป

7.ต่อมาไม่นานนัก ข่าวลือเรื่องมือที่สามที่ดูเหมือนจะจริงจังกว่าครั้งก่อนเริ่มเข้ามาในชีวิตรักของคนทั้งคู่ จนเป็นสาเหตุทำให้คนทั้งคู่มีปากเสียงกันอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะข่าวลือที่ว่า ทังเจิ้นเยี่ย ได้ไปออกเดท กับดาราตลกสาวที่เพิ่งเริ่มจะมีชื่อเสียง ในขณะนั้นอย่าง อู๋ จวินหยู จนสื่อสามารถถ่ายภาพของคนทั้งคู่นำมาเขียนลงหน้า 1 จนกลายเป็นข่าวซุบซิบที่สร้างความสะเทือนใจให้กับ องเหม่ยหลิง เป็นอย่างมาก (ถึงแม้ว่าเธอจะปากแข็ง และเคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับภาพที่เป็นข่าวก็ตาม).อ้างอิงจาก [58]

8.และในช่วงเข้าสู่กลางปี ผลงานละครชุดแนวสากลฟอร์มใหญ่เรื่อง เทพบุตรทรนง ได้ถูกนำออกฉาย เป็นการประกบคู่กันครั้งแรก ระหว่างเธอ กับนักแสดงหนุ่มดาวรุ่งมาแรง เหลียงเฉาเหว่ย (ซึ่ง ละครเรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นละครแนวสากล ที่แฟน ๆ ละครของเธอ ชื่นชอบและถูกจดจำมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของเธอ) หลังจากออกฉายไปได้ไม่นาน ก็ได้เกิดกระแสข่าวลือออกมาว่า เธอกับ เหลียงเฉาเหว่ยได้ไปออกเดทด้วยกัน ข่าวลือสืบเนื่องมาจากการเล่นประกบคู่กันในละครเรื่องนี้ระหว่างเธอกับเหลียงเฉาเหว่ย นั้นมี ฉากเลิฟซีน ที่ทั้งคู่ประกบปากจูบกันจริง ๆ อยู่หลายฉากโดยไม่ได้ใช้มุมกล้องใด ๆ และตัวของ เหลียงเฉาเหว่ยเองก็เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เขาแอบปลื้ม องเหม่ยหลิงอยู่มากจึงทำให้บรรดาสื่อต่างๆ พยายามสร้างข่าวโดยจับคู่เธอกับเหลียงเฉาเหว่ยให้เกิดเป็นกระแสว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวกับนักข่าวว่าไม่เป็นความจริงเลย เพราะเธอเห็น เหลียงเฉาเหว่ย เป็นแค่เพื่อนร่วมงานที่ดีที่ตัวเธอชื่นชมเท่านั้น.

9.ข่าวลืออีกหนึ่งข่าวที่สร้างความสั่นคลอนให้ความรักของคนทั้งคู่อย่างมากคือเธอได้เริ่มคบหาดูใจกับหนุ่มไฮโซหน้าตาดีลูกเศรษฐีนอกวงการ นามว่า โจวซื่อหลุง(邹世龙) ซึ่งเขาคนนี้เคยคบหาดูใจกับ ดารานักร้องระดับซุบเปอร์สตาร์ เหมยเยี่ยนฟาง มาก่อน ที่ข่าวลือออกมาทำนองนี้ก็เพราะว่า ในช่วงระยะหลัง ๆ นี้เอง มีผู้คนไปพบเห็น องเหม่ยหลิง ออกไปเที่ยวกลางคืนและเต้นรำกับเขาอย่างสนุกสนานใน ผับดิสโก้ กันสองต่อสองอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้เกิดกระแสข่าวลือหนาหู นี้ขึ้นมา,(แหล่งอ้างอิง)[59] หลังจากนั้นก็ได้เกิดกระแสข่าวลือตามมาอีกทำนองว่า องหม่ยหลิงเป็นมือที่สามที่แทรกแซงความรักระหว่างโจวซื่อหลุง กับ เหมยเยี่ยนฟาง จนกระทั่ง เหมยเยี่ยนฟาง และ โจวซื่อหลุง ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือเรื่องนี้ว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดเพราะ โจวซื่อหลุง ได้เลิกลากับเหมยเยี่ยนฟาง มาได้ประมาณ 2-3 เดือนก่อนหน้าที่เขาจะมาพบเจอกับ องเหม่ยหลิง ที่ดิสโก้เธคแห่งหนึ่งและเขาเริ่มตามจีบเธอ.

ฆ่าตัวตาย

จนกระทั่ง กลางปี วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2528 หลังจากครบรอบวันเกิดอายุ 26 ปีของเธอได้เพียงแค่ 1 สัปดาห์ เหตุการณ์ร้ายที่ไม่มีใครคาดฝันก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเธอได้ตัดสินใจ จบชีวิตการแสดงที่รุ่งโรจน์ของเธอ ไปพร้อมกับมรสุมข่าวลือและปัญหาความรัก ที่ผิดหวัง โดยการ รมแก๊สฆ่าตัวตาย ในห้องพักของเธอ หลังจากที่มีปากเสียงทะเลาะกับ ทัง เจิ้นเยี่ย แฟนหนุ่มของเธอ. กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ที่สร้างความเสียใจ และ เสียดายฝีมือการแสดงของเธอ เป็นอย่างมาก นับเป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของวงการบันเทิงเอเชีย.

ผลงานละครเรื่องสุดท้าย เซียนโค่นเซียน (เหนือฟ้ายังมีฟ้า) (橋王之王) ที่เธอเพิ่งถ่ายไปได้แค่ 2 ตอน แล้วมาเสียชีวิตลงไปอย่างกะทันหัน จึงทำให้บทบาทนางเอกของเธอในละครเรื่องนี้ถูกแทนที่โดยดาราสาว จาง ม่านอวี้ และมีละครอีกหนึ่งเรื่องที่มีการวางตัว องเหม่ยหลิง ให้รับบท "จิงจิง" ซึ่งเป็นนางเอกเอาไว้ก่อนจะเปิดกล้องในเดือน กรกฎาคม คือ เล็กเซี่ยวหงส์ เวอร์ชันว่านจือเหลียง (The Return of Luk Siu Fung 1986) ซึ่งต่อมาบทดังกล่าวถูกแทนที่โดยดาราสาว เฉินซิ่วจู[60]

ใกล้เคียง

องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย องคชาตมนุษย์ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ องค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย องศาเซลเซียส องค์การบริหารส่วนตำบล อง เหม่ย์หลิง องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ องค์กรคริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทย องค์บาก

แหล่งที่มา

WikiPedia: อง เหม่ย์หลิง http://www.jomyut.club/index.php/news-update/enter... http://www.360doc.cn/article/2253722_284294990.htm... http://www.360doc.cn/article/7986_246877.html http://m.8794.cn/baoliao/2014/8360_4.html http://m.artsuniversity.com.cn/mobile/big5/school-... http://media.people.com.cn/n1/2016/0618/c40606-284... http://blog.sina.com.cn/s/blog_62485ccd0100i69o.ht... http://ent.sina.com.cn/r/i/2005-05-13/1343722941.h... http://www.china.org.cn/top10/2011-07/21/content_2... http://blog.sina.cn/dpool/blog/s/blog_702798e30102...